สมุนไพร ภาคเหนือ

                                                                           ผักกูด


            ลักษณะ; ต้นผักกูด จัดเป็นเฟิร์นขนาดใหญ่ที่มีเหง้าตั้งตรง และมีความสูงมากกว่า 1 เมตรขึ้นไป เหง้าปกคลุมไปด้วยใบเกล็ด เกล็ดมีขนาดกว้างประมาณ 1 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เกล็ดมีสีน้ำตาลเข้มถึงสีดำ ขอบใบเกล็ดหยักเป็นซี่ โดยเฟิร์นชนิดนี้มักจะขึ้นหนาแน่นตามชายป่าที่มีแดดส่องถึง ในบริเวณที่ลุ่มชุ่มน้ำ ตามริมลำธาร บริเวณต้นน้ำ หนองบึง ชายคลอง ในที่ที่มีน้ำขังแฉะและมีอากาศเย็น รวมไปถึงในพื้นที่เปิดโล่ง หรือในที่ที่มีร่มเงาบ้าง และจะเจริญเติบโตได้ดีบริเวณที่ชื้นแฉะ
                                                             
                                                               สรรพคุณของผักกูด 

  1. ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มภูมิคุมกันและช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
  2. ผักกูดอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและเบตาแคโรทีน การรับประทานผักกูดร่วมกับเนื้อสัตว์จะช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และยังช่วยบำรุงร่างกายอีกด้วย
  3. ใบผักกูดนำมาต้มเป็นน้ำดื่ม ช่วยแก้ไข้ตัวร้อน 
  4. ผักกูดเป็นผักที่มีคุณสมบัติช่วยดับร้อน ทำให้ร่างกายปรับสภาพอุณหภูมิให้เข้ากับฤดูได้
  5. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเม็ดเลือด 
  6. ช่วยบำรุงโลหิต เนื่องจากผักกูดเป็นผักที่มีธาตุเหล็กมากที่สุดเป็นอันดับ 1
  7. ช่วยแก้โรคโลหิตจาง
  8. ช่วยบำรุงสายตา 
  9. ช่วยลดความดันโลหิตสูง 
  10. ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้
  11. ผักกูดเป็นผักที่มีเส้นใยอาหารสูงมาก จึงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างดี 
  12. สรรพคุณผักกูด ช่วยขับปัสสาวะ 
  13. ผักกูด สรรพคุณช่วยแก้พิษอักเสบ
ประโยชน์ของผักกูด
          ผักกูด เป็นผักที่มีรสจืดอมหวานและกรอบ ยอดอ่อนและใบอ่อนนิยมนำมาบริโภค โดยนำมาปรุงเป็นอาหารได้อย่างหลากหลาย ด้วยการนำมายำ ผัด ทำเป็นแกงจืด แกงเลียง แกงส้ม แกงแคร่วมกับผักชนิดต่าง ๆ ต้มกะทิ ฯลฯ ส่วนเมนูผักกูดก็เช่น ยำผักกูด ผักกูดผัดน้ำมันหอย แกงจืดผักกูดหมูสับ ไข่เจียวผักกูด ผัดกับไข่หรือแหนม นำมาแกงกับปลาน้ำจืด ทำเป็นแกงกะทิกับปลาย่าง หรือนำมาราดด้วยน้ำกะทิรับประทานร่วมกับน้ำพริกหรือแกงรสจืด

ผักโขมหนาม

         ลำต้น – ตั้งตรง แตกกิ่งมากรอบตัวต้น ลำต้นสูงประมาณ 30–110 เซนติเมตร มีหนามแหลมตามข้อ ยาวประมาณ 1–3 เซนติเมตร ผิวเรียบหรือมีขนเล็กน้อย
  • ใบ – ใบอ่อนจะมีขนปกคลุมเล็กน้อย เป็นใบเดียวรูปหอก เรียงสลับ ปลายใบและโคนใบแหลม ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ก้านใบยาวประมาณ 7 เซนติเมตร และมีหนามแหลมยาว 2 อัน ที่โคนก้านใบเมื่ออ่อนอยู่มีขนเล็กน้อยที่เส้นใบ[3]
  • ดอก – เป็นดอกช่อ ออกที่ซอกใบและปลายกิ่ง และตรงข้อข้างลำต้น ดอกย่อยเรียงตัวอัดกันแน่น มีหนาม ไม่แข็ง กลีบรวมโค้ง ขอบกลีบใส ตรงกลางมีแถบสีเขียวหรือม่วง แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกขนาดเล็ก ติดก้านช่อสีเขียว ช่อดอกมีหนามแหลมยาว 2 อัน หรืออาจมีมากกว่านี้ แต่ช่อดอกปลายยอดไม่มีหนาม กลีบดอกมี 5 กลีบ
  • เมล็ด – มีขนาดเล็ก สีดำ ผลเป็นแบบแห้งแล้วแตก โดยแตกตามขวางของผล เมล็ดสีน้ำตาลเป็นมันเงา ทรงกลม ตรงกลางทั้งสองด้านนูน ขนาดเล็กประมาณ 0.05 เซนติเมตร

  • ประโยชน์และสรรพคุณ

    รับประทานเป็นผัก โดยลอกเปลือกและหนามออก
    ยาพื้นบ้านล้านนาใช้ รากเผาไฟพอข้างนอกดำ จี้ที่หัวฝี ช่วยให้ฝีที่แก่แตก หรือผสมข้าวโพด ทั้งต้น ต้มน้ำดื่มแก้บวม ยาพื้นบ้าน ใช้ ทั้งต้น ต้มน้ำดื่ม ขับปัสสาวะ แก้ตกเลือด แน่นท้องและขับน้ำนม มีรายงานวิจัยว่า ทั้งต้นมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของ ลำไส้เล็ก ส่วนราก ต้านสารพิษที่ทำลายตับ พบรายงานจากประเทศบราซิลว่า พืชนี้เป็นพิษต่อ วัว ควายและ ม้า ทำให้สัตว์เหล่านี้มีอาการเซื่องซึม เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ท้องเสียกลิ่นเหม็นมาก บางครั้งอาจมีเลือดปนในอุจจาระ นอกจากนั้นยังมีการทำการทดลองพบว่า สารที่ได้จากธรรมชาติ คือ น้ำด่างของผักโขมหนามสามารถล้างไหมได้ดี เทียบเท่าสารเคมี ที่ใช้ล้างไหมกันอยู่ในปัจจุบัน[5] รากผักโขมหนามสามารถเป็นยาแก้ตกเลือด แก้ฝี แก้ขี้กลาก เป็นยาขับน้ำนม แก้แน่นท้อง แก้พิษ แก้ช้ำใน แก้ไข้ ระงับความร้อน ใช้ในเด็กแก้ลิ้นเป็นฝ้าละออง ช่อดอกและยอดอ่อนต้มเป็นอาหารหมู ยอดอ่อนและใบอ่อนใส่ลงในอาหารของชาวกะเหรี่ยงที่เรียกข้าวเบอะ[6]                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                    ผักปู่ย่า                                                                                  

                       ลักษณะทางพฤษศาสตร์ ของ “ผักปู่ย่า” …จัดเป็นไม้เถา ลำต้น ตั้งตรงหรือเลื้อยพันต้นไม้อื่น... มีความสูงต้นมากกว่า 1 เมตร ... ลำต้นมีหนามแหลมมากมายทั้งลำต้นและก้านใบ.. ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ก้านใบยาว 25-40 ซม. ยอดอ่อนมีสีน้ำตาลแดง ใบย่อยมี 10-30 คู่ และแตกออกไปอีก 10-20 คู่ ... ใบมีลักษณะกลมมน ขนาดกว้าง 4 มม. ใบสามารถหุบเข้าหากันได้เมื่อถูกสัมผัส ก้านใบสีแดง มีหนามแหลมตามกิ่งก้านทั่วไป ดอกเป็นดอกช่อยาว 20-40 ซม. ลักษณะเป็นพุ่ม ดอกสีเขียวอมชมพูน้ำตาล แต่ถ้าดอกมีสีเหลืองจะมีรสเปรี้ยว ใช้ทำยำ ผักปู่ย่า จะบานดอกในช่วงฤดูหนาว ขนาดของดอกยาว 1.2-2 ซม. กว้าง 1-1.8 ซม. ลักษณะเป็นแผ่นแบนและปลายเรียวแหลม ผล ...เป็นฝักขนาดเท่าหัวแม่มือภายในมีเมล็ด 2 เมล็ด ใบและช่อดอก ... มีกลิ่นฉุนรุนแรงคล้ายกลิ่นแมงกะแท้หรือแมงดา ชาวบ้านว่าผักปู่ย่ามีกลิ่นหอมนวลน่ากิน ผักปู่ย่า ...พบขึ้นในแหล่งธรรมชาติบริเวณ ป่าละเมาะ ป่าเต็งรัง ป่าผสมผลัดใบ และบริเวณชายป่าที่รกร้าง ชอบขึ้นรวมกับต้นไม้อื่นๆ ขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด ผล มีลักษณะเป็นฝัก บวมพอง มีหนามเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือ ภายในฝักจะมีเมล็ด2 เมล็ด


           คุณประโยชน์ทางด้านอาหาร
    ส่วนที่เป็นผัก ได้แก่ ยอดอ่อน ใบอ่อนและดอกของผักปู่ย่า... ใช้รับประทานเป็นผักได้ เช่น ยอดรับประทานสดกับซุปหน่อไม้ ... ยอดอ่อนและใบอ่อนผลิออกในช่วงฤดูหนาว (เดือนตุลาคม-เดือนกุมภาพันธุ์) ชาวเหนือรับประทาน ... ยอดอ่อน ใบอ่อนของผักปู่ย่า...ส่วนดอกและยอดอ่อนนำไปปรุงเป็น "ส้าผัก" ได้โดยปรุงร่วมกับมะเขือแจ้ ยอดมะม่วงและเครื่องปรุงรสหลายชนิด
           ประโยชน์ในการเป็นพืชสมุนไพร
    ยอดอ่อนและดอก มีรสเปรี้ยว ฝาดเผ็ดร่วมกัน จึงมีสรรพคุณ บำรุงเลือด แก้วิงเวียน และจากรายงานผลการวิจัยที่ค้นพบ พบว่า ...ในผักพื้นบ้านประเภทนี้ มี...สารต้านอนุมูลอิสระสูง ...จึงมีสรรพคุณในการลดหรือยับยั้งการสร้างเซลล์มะเร็งได้ดี